ความรู้เกี่ยวกับการขับร้องประสานเสียง
ประวัติความเป็นมาของการขับร้องประสานเสียง
แมส (Mass)
แมส คือ บทเพลงสวดของชาวโรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเพลงในโบสถ์ในลัษณะต่างๆ และพลงคฤหัสในเวลาต่อมาด้วย ลักษณะของแมส มีคู่กับศาสนามาเป็นเวลาช้านานตั้งแต่ในอดีต แมสถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ บทเพลงภาคปกติ และภาคเฉพาะ
คำว่า แมสมิสซา (Missa) หรือพิธีมิสซบูชาขอบพระคุณ เป็นพิธีที่สำคัญที่สุดในศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เป็นการชุมนุมกันของชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงการรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับสุนุศิษย์ คำว่า มิสซา มาจากประโยคสุดท้ายของการกล่าวจบพิธีในภาษาละติน “ Ite, missa est ( congregation ) ” ซึ่งในภาษไทยมีความหมายว่า “ พิธีบูชาขอบพระคุณจบแล้ว ”
ประวัติของแมส
การประพันธ์แมสแต่เดิมเป็นบทเพลงขับร้องด้วยทำนองเดียวไม่มีการประสานเสียงแต่อย่างใด ( Apel and Daniel, 1972 ) ในลักษณะของบทเพลงสวดดั้งเดิม ( Plain Song ) ซึ่งบทเพลงลักษณะเช่นนี้ได้รับอิทธิพลมาจากบทเพลงร้องชาวฮิบรู ( Miller, 1972 ) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคริสต์ศาสนา โดยปกติแมสแบบบทเพลงภาคเฉพาะมีความสลับซับซ้อนในการประพันธ์มากกว่าแมสแบบบทเพลงภาคปกติ ในศตวรรษที่ 12 รูปแบบของเพลงแมสเป็นบทเพลงขับร้องที่ใช้การประพันธ์เพลงแบบการสอดประสานทำนอง ตัวอย่างของแมสยุคนี้ ได้แก่ The Orgaba of the School of Notredam ประพันธ์โดยเลโอนินและเพโรติน เป็นต้น โดยมีที่มาจาก Gradual และ Alleluia ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแมสแบบบทเพลงภาคเฉพาะ ภายหลังผู้ประพันธ์เพลงเริ่มประพันธ์เพลงแมสแบบบทเพลงภาคปกติมากกว่า เนื่องจากนำมาบรรเลงซ้ำได้หลายครั้งต่อปี ในขณะที่ Gradual สามารถบรรเลงะได้เพียงครั้งเดียวต่อปี ในช่วงศตวรรษที่ 14 ผลงานแมสบทที่สมบูรณ์และเป็นที่รู้จัก ได้แก่ ผลงานของมาโชต์ ในศตวรรษที่ 15 และ 16 แมสที่ประพันธ์ขึ้นมักนำมาจากทำนอเพลงคฤหัสถ์ ซึ่งทำนองที่นิยมนำมาใช้คิอ L’ Homme arme ตัวอย่างผลงานประพันธ์ที่น่าสนใจ เช่น ผลงานแมส “ Se la face ay pale ” ของดูฟาย และมีผู้ประพันธ์เพลงแมสสำคัญอีกหลายคน ได้แก่ โอเคเกม โอเบรชต์ และปาเลสตรินา เป็นต้น ในศตวนนษที่ 17 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัญ เริ่มมีวงออร์เคสตราผนวกกับกราขับร้อง ซึ่งมีทั้งการขับร้องเดี่ยว ขับร้องกลุ่มเล็กๆ และการขับร้องประสานเสียง ทำให้แมสเป็นบทเพลงขนาดใหญ่ มีความสมบูรณ์มากขึ้นกว่าสมัยโบราณโดยเฉพาะในศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา แมส กลายเป็น บทเพลงที่นิยมแสดงในโรงแสดงคอนเสิร์ตด้วย มิใช่เป็นบทเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา
ลักษณะของแมส
แมสประกอบด้วยสองส่วนตามมลักษณะของบทสวด คือ บทเพลงสวดภาคปกติ และบทเพลงสวดเฉพาะ
1. บทเพลงสวดภาคปกติ ( The Ordinary of the Mass ) เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีมิสซา เนื้อเพลงมีลักษณะแน่นอนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในการประกอบพิธีมีการแบ่งออกเป็นภาค ได้แก่ เริ่มพิธี ภาควจนพิธีกรรม ภาคบูชาขอบพระคุณ และปิดพิธี ประกอบด้วย
Kyrie บทศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในภาคเริ่มพิธี
Gloria บทพระสิริรุ่งโรจน์ อยู่ในภาคเริ่มพิธี
Credo บทข้าพเจ้าเชื่อ อยู่ในภาควนพิธี
Sanctus บทศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในภาคบูชาขอบพระคุณ
Agnus Dei บทลูกแกะพระเจ้า อยู่ในภาคบูชาขอบพระคุณ
บทสวดใช้อยู่ในพิธีทั้ง 5 บทนี้เป็นบทที่สำคัญและยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัญ ในการประกอบพิธีมีการร้องบทสวดเหล่านี้เป็นเพลง แต่ในบางครั้งใช้เพียงการพูดหรือตอบรับกับพระสงฆ์เท่านั้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบและประเภทของพิธี
2. บทเพลงสวดภาคเฉพาะ ( The Proper of the Mass ) ใช้ประกอบพิธีมิสซา บทเพลงในกลุ่มนี้บางบทมาจากบทสวด แต่สามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อได้ตามเทศกาลหรือตามความเหมาะสมประกอบด้วย 5 บทคือ
Introit บทเริ่มพิธี อยู่ในภาคเริ่มพิธี
Gradual บทคั่นระหว่างบทอ่าน อยู่ในภาควจนพิธีกรรม
Alleluia บทอัลเลลูยา อยู่ในภาควจนพิธีกรรม
Offertory บทเตรียมเครื่องบูชา อยู่ในภาคบูชาขอบพระคุณ
Communion บทรับศีล อยู่ในภาคบูชาขอบพระคุณ
แมสยังสามารถแบ่งได้ตามจุดประสงค์ของการใช้งาน ได้แก่ บทเพลงแมสที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา และแมสที่ใช้ในการแสดงคอนเสิร์ต
สุนทรียะของแมส
แมส เป็นบทเพลงที่กำเนิดขึ้นโดยเกี่ยวพันกับคริสต์ศาสนาใช้ในการประกอบพิธีในโบสถ์จุดประสงค์แต่แรกเริ่มจึงเป็นการประพันธ์เพื่อใช้งานแมสในยุคแรกเป็นบทเพลงขับร้องอย่างเดียวไม่มีดนตรีบรรเลงประกอบ มีลักษณะง่ายๆ เน้นการสวดเพื่อประกอบพิธี แต่มีความไพเราะตามดนตรียุคโบราณ ซึ้งผู้ฟังโดยทั่วไปจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจและซาบซึ้งในองค์ประกอบดนตรีที่เรียบง่าย แฝงไว้ด้วยความไพเราะและศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าของผู้ประพันธ์เพลงแต่ละคนที่นำเสนอสาระดนตรีประกอบทสวดที่เป็นภาษาละติน
ในสตวรรษที่ 12 มีการสอดประสานทำนองซึ่งเป็นรูปแบบการประพันธ์ดนตรีที่นิยมในสมัยนั้น ความซับซ้อนเห็นได้อย่างเด่นชัด ซึ่งส่วนใหญ่แมสในสมัยนั้นจะเป็นบท เพลงขับร้องเท่านั้นไม่นิยมใช้ดนตรีประกอบ ไม่นิยมใช้ดนตรีบรรเลงประกอบ
ในยุคต่อมา แมส กลายเป็นบทเพลงที่มิใช่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้นหากแต่กลายเป็นบทเพลงที่ใช้แสดงในโรงแสดงดนตรี เพื่อสื่อถึงความงดงามและความศรัทธาในศาสนาในเวลาเดียวกัน ซึ่งมีการขับร้องเดี่ยว ประสานเสียง ขับร้องเดี่ยวร่วมกับการประสานเสียง การขับร้องคู่ และการบรรเลงสลับกับวงออเคสตราในบางขณะ สิ่งเหล่านี้ทำให้แมสเป็นบทเพลงที่เต็มไปด้วยความงดงามทางสุนทรียรสแห่งโสตศิลป์โดยสมบูรณ์
การขับร้องประสานเสียง
ในการขับร้องประสานเสียง จะมีแนวเสียงใหญ่ๆ อยู่ 4 แนวด้วยกันคือ
1. แนวโซปราโน (SOPRANO) เป็นเสียงสูงสุด ได้แก่ เสียงของผู้ที่มีเสียงสูงและเด็กที่เสียงยังไม่แตกมีขอบเขตเสียงจาก โด-ซอล
2. แนวอาลโต (ALTO) เป็นเสียงที่ต่ำรองลงมาจากโซปราโน ได้แก่ เสียงของผู้หญิงที่มีเสียงต่ำกว่าโซปราโน มีขอบเขตเสียงจาก ซอล-โด
3. แนวเตเนอร์ (TENOR) ได้แก่ เสียงผู้ชายที่มีเสียงสูง มีขอบเขตเสียงจากโด-ซอล
4. แนวเบส (BASS) ได้แก่ เสียงผู้ชายที่มีเสียงต่ำ มีขอบเขตเสียงจากฟา-โดโดยธรรมชาติ คนเราจะมีขอบเขตเสียงของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างเช่นบางคนเสียงสูงมาก บางคนสูงไม่มาก บางคนต่ำ และบางคนก็ต่ำมากไม่เท่ากัน
ในการขับร้องประสานเสียงจึงต้องมีการจัดขอบเขตเสียงให้ผู้ร้อง ว่าคนไหนควรจะขับร้องในแนวใด ซึ่งในทางเทคนิคแล้วจะแบ่งขอบเขตเสียงของคนเราเป็น 4 ประเภทดังกล่าวแต่ในเมืองไทยนั้นหายาก ที่จะมีผู้ร้องที่มีขอบเขตเสียงดังกล่าว ฉะนั้นจึงวัดได้เฉพาะขอบเขตเสียงที่ใกล้เคียงเท่านั้นแต่บางคนมีขอบเขตเสียงเกินกว่าที่กำหนดไว้เหมือนกัน
เมื่อจัดระดับเสียงของผู้ร้องที่จะขับร้องประสานเสียงได้แล้วก็มาถึงการจัดความกลมกลืนของเสียง (BALANT) การจัดกำลังคนไม่กำหนดว่าจะต้องมีกำลังคนเท่าใด โดยให้จัดตามกำลังเสียงที่ออกมา คือ แนวโซปราโน ส่วนมากจะร้องในแนวสูงสุดของบทเพลงไม่ต้องใช้ผู้ร้องจำนวนมากเพราะเสียงที่สูงจะมีกำลังอยู่แล้ว แต่ แนวเบส เป็นแนวที่มีกำลังเสียงและระดับเสียงที่ต่ำ ควรจะเพิ่มกำลังคนโดยจะใช้จำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับเสียงที่ออกมาจะต้องกลมกลืนพอดี
นอกจากจะปรับความกลมกลืนของเสียง (BALANT) ด้วยการปรับจำนวนของผู้ร้องแล้ว ยังสามารถที่จะปรับความกลมกลืนด้วยการควบคุมความดังเบาของกำลังเสียงได้อีกวิธีหนึ่ง เช่น ถ้าผู้ร้องแนวใดแนวหนึ่งมาก และมีเสียงร้องออกมาดังกว่าแนวอื่นก็แก้ไขด้วยการให้ร้องเบาลงเฉพาะแนวนั้นๆ
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า มนุษย์เรามีธรรมชาติการควบคุมการขับร้อง การพูด การออกเสียงมาด้วยกันทุกคน แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ธรรมชาติเหล่านั้นไม่คล่องตัวหรืออาจจะเป็นเพราะความเผลอไผลในเวลาใช้ก็ได้ จึงมีการคิดค้นเทคนิคทางการออกเสียงขับร้องขึ้นมาโดยใช้ธรรมชาติเป็นหลักดังนี้
1. การฝึกออกเสียง (VOCALIZE) มีความสำคัญมากเพราะการออกเสียงทุกครั้งต้องมีสิ่งที่จะต้องควบคุมหลายอย่าง เช่น การใช้ลมอักขระต้องให้ถูกต้อง เพราะเมื่อขับร้องหมู่ประสานเสียงแล้วจะเกิดความพร้อมเพรียงและถูกต้อง
2. เทคนิคทางการพูดและการแสดง การแสดงในที่นี้หมายถึงการใส่อารมณ์ มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า SPEECH AND DRAMA การตีความหมายของบทเพลง ต้องใส่อารมณ์อย่างไร จึงจะถูกต้องตามความหมายของบทเพลง เช่น เพลงที่มีความหมายไปในทางเศร้า จะต้องแสดงอารมณ์ของบทเพลงอย่างไร บทเพลงที่มีเนื้อหาไปในทางที่สนุกสนานจะต้องแสดงอารมณ์อย่างไร
3. การปั้นรูปปาก (LIP TORMATION) เป็นสิ่งสำคัญมากในการขับร้อง การร้องคำต่างๆ เช่น คำที่อยู่ในสระ อี อา โอ อู จะปั้นรูปปากอย่างไร เมื่อนำเทคนิคในการพูดและการขับร้องต่างๆ มารวมกัน ก็จะทำให้มีการขับร้องที่ถูกต้อง ไม่ผิดลักษณะต่างๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งสำคัญมากสำหรับหมู่ขับร้องประสานเสียง เพราะเป็นการขับร้องของคนจำนวนมาก ถ้าการขับร้องไม่เหมือนกันก็จะเป็นการยากลำบากในการขับร้อง
ที่กล่าวมาเป็นหลักใหญ่ ๆ ในการขับร้องประสานเสียง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้หลักการและวิธีการเหมือนการขับร้องเดี่ยวนั่นเอง
สำหรับการขับร้องประสานเสียง โดยทั่วไปจะมีหมู่ขับร้องที่ใช้อยู่คือหมู่ขับร้อง ประสานเสียง 4 แนว ได้แก่ แนว โซปราโน และแนว อาลโต ซึ่งจะเป็นผู้หญิงร้อง และ แนว เตเนอร์ กับ เบส เป็นหมู่นักขับร้องชาย ถ้าเป็นหมู่ขับร้องชายล้วน มีชื่อว่า “MALE CHOIR” ประกอบด้วยแนว เตเนอร์ 1 เตเนอร์ 2 และ แนว เบส ถ้าเป็นหมู่ขับร้องหญิงล้วน มีชื่อว่า “FEMALE CHOIR”ประกอบด้วยแนว โซปราโน เมซโซ โซปราโน และแนว อาลโต
การขับร้องประสานเสียง 4 แนว ในวงการเพลงของเรานั้นมีอยู่ไม่กี่แห่งที่มีคณะนักร้องประสานเสียงคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย, โรงเรียนนาฏศิลป์ กรมศิลปากร และ โรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ นอกนั้นเป็นการขับร้องในการปฏิบัติศาสนกิจของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์
ส่วนที่มีการขับร้องบันทึกเสียงออกจำหน่ายโดยทั่วไปนั้นก็มักจะประสานเพียง 2 - 3 แนวเท่านั้น มี 4 แนวอยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อย นับว่าการขับร้องประสานเสียง 4 แนวยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
อ้างอิงภาพ www.music.mahidol.ac.th/th/archive_view.php?id=175
http://www.music.mahidol.ac.th/th/archive_view.php?id=175
อ้างอิงภาพ http://www.hatyaisocial.com/index.php?topic=2636.0
แหล่งที่มา
http://www.yimwhan.com/board/show.php user=Neostarclub&Cate=1&topic=4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น